การทหาร เป็นองค์การที่สังคมอนุญาตให้ใช้อำนาจสำหรับสังหาร (lethal force) ซึ่งโดยปกติเป็นการใช้อาวุธสำหรับในการป้องกันประเทศ เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นหรืออยู่ภายใต้การรับรู้
การทหารอาจมีการทำหน้าที่อื่นต่อสังคม เช่น การเดินหน้าวาระทางการเมือง (ในกรณีคณะทหารผู้ยึดอำนาจการปกครอง) สนับสนุนหรือส่งเสริมการขยายทางเศรษฐกิจผ่านจักรวรรดินิยม และเป็นการควบคุมทางสังคมภายในรูปแบบหนึ่ง
คำว่า "การทหาร" หรือ "ทางทหาร" ที่เป็นคำคุณศัพท์ ยังใช้หมายถึง ทรัพย์สินหรือมุมมองของทหาร การทหารทำหน้าที่เป็นสังคมภายในสังคม โดยมีชุมชนทหารเป็นของตนเอง
ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน เทคโนโลยีทางการทหารมีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติการทางการทหารก็คือกำลังพลทหารที่เป็นมนุษย์เป็นหลัก โดยในปี 2543 กองทัพอังกฤษได้ระบุไว้ในเอกสารว่า มนุษย์ยังคงเป็นอาวุธชนิดแรกในสงคราม
หน่วยงานทางการทหาร มักจะมีลำดับการบังคับบัญชาตามระดับของชั้นยศในการสั่งการ โดยเรียงจากยศที่มีอำนาจสูงที่สุดในการสั่งการกองทัพทั้งหมด (เช่น พลเอก) ไล่ลำดับลงมาจนถึงยศต่ำที่สุดที่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจใด ๆ (เช่น พลทหาร) นอกจากนี้ยังมีการจัดลำดับตามความอาวุโสและประสบการณ์ในการทำงาน เพื่อประสิทธิภาพในการตัดสินใจสั่งการไปยังเหล่าทหารที่อยู่ภายในบังคับบัญชา แต่ในบางกองทัพการแต่งตั้งชั้นยศก็ไม่สมกับสัดส่วนอำนาจการบังคับบัญชาในสากลประเทศอื่น ๆ
นอกจากชั้นยศแล้ว บทบาทในการรบก็ถูกแบ่งขึ้นมาเพื่อระบุถึงคุณสมบัติและบทบาทหน้าของกองทหารนั้น ๆ โดยในประเทศไทยเรียกว่า เหล่า เช่น ทหารราบ ทำหน้าที่ในการรบด้วยกำลังทหาร ทหารม้า ทำหน้าที่ในการใช้รถถังหรือพาหนะในการเคลื่อนที่และมีอำนาจการยิงที่รุนแรง ทหารช่าง ทำหน้าที่ในการสนับสนุนการรบด้านการช่าง การสร้างและดัดแปลงภูมิประเทศ
ในกองทัพและการทหารสมัยใหม่ ระบบชั้นยศนั้นถูกใช้อย่างแพร่หลายในเกือบทุกประเทศ แต่ในอดีตมีบางประเทศที่ปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์พยายามยกเลิกระบบชั้นยศในกองทัพ เช่น สหภาพโซเวียต สาธารณรัฐประชาชนจีน แต่ก็ต้องกลับมาใช้งานระบบชั้นยศอีกครั้งเนื่องจากปัญหาในการบังคับบัญชาและควบคุมการรบ
กำลังพลของกองทัพที่ใช้ในการปฏิบัติการทางทหารนั้น ปัจจุบันมีทั้งในรูปแบบของการรับสมัคร และรูปแบบของการเกณฑ์ทหาร ขึ้นอยู่กับระบบของแต่ละประเทศ ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แต่กำลังมีสัดส่วนของผู้หญิงเพิ่มมากขึ้นในกองทัพโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ในขณะที่ 2 ใน 3 ของประเทศทั่วโลกใช้วิธีในการสรรหากำลังพลเฉพาะในช่วงวัยของผู้ใหญ่ มีเพียงบางประเทศที่ยังคงใช้วิธีการสรรหากำลังพลโดยใช้เด็กเป็นกองกำลัง โดยเด็กตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก คือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
สำหรับในประเทศไทยการสรรหากำลังพลเป็นรูปแบบของการเกณฑ์ทหาร แต่ในปัจจุบันกำลังเป็นที่ถกเถียงกันว่าจะคงรูปแบบการเกณฑ์ หรือจะปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบสมัครใจ เนื่องจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนของพลทหารที่มาจากการเกณฑ์ทหารของกองทัพ ปรากฏออกมาเป็นข่าวในสื่อและรายงานขององค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งกองทัพไทยระบุว่ากำลังศึกษารูปแบบของการสรรหากำลังพลแบบสมัครใจอยู่
การฝึกกำลังพลเพื่อจะไปเป็นทหารนั้น โดยพื้นฐานจะต้องฝึกเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะปฏิบัติการทางทหาร ในการทำร้ายและสังหารข้าศึก การเผชิญสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างการรบ เป็นการฝึกทั้งในด้านของร่างกายและจิตใจ โดยอาจจะแบ่งไปตามคุณสมบัติเฉพาะของตำแหน่ง หลักสูตรหรือเหล่าที่เข้ารับการฝึก อาทิ
ในการทหารนั้นจำเป็นจะต้องระบุถึงภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นต่อกองทัพหรือกองกำลังนั้น ๆ จึงได้มีการรวบรวมข่าว ทั้งจากบุคลากรของกองทัพเอง และจากพลเรือน เพื่อระบุตัวตนหรือสิ่งที่เป็นภัยคุกคาม และรักษาความปลอดภัย โดยเรียกว่าข่าวกรองทางทหาร โดยแนวคิดในการรวบรวมข่าวกรองนั้น เป็นการรวบรวมข่าวสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมีความสำคัญต่อการปฏิบัติการของฝ่ายเรา ไม่ว่าจะเป็นแผนการในการก่อความไม่สงบ การเคลื่อนกำลัง หรือแผนการสำหรับการบุกยึด
ส่วนที่สำคัญที่สุดของข่าวกรองทางทหารคือการวิเคราะห์ข่าวกรอง เพื่อประเมินความสามารถทางการทหารของผู้ที่เราคาดว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต และจำลองรูปแบบการปฏิบัติการ ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการปฏิบัติการนั้น ๆ อาจจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
เศรษฐศาสตร์กลาโหม คือการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการงบประมาณด้านการทหาร เพื่อสร้างทรัพยากรและบำรุงรักษากองกำลังทางการทหาร รวมไปถึงงบประมาณในการปฏิบัติการทางการทหารและการทำสงคราม
ในการจัดสรรงบประมาณทางการทหารนั้น จะถูกจัดสรรโดยหน่วยงานด้านการเงินในกองทัพของแต่ละประเทศ โดยการจัดซื้ออาวุธของกองกำลังทางการทหารนั้นสามารถกระทำได้ทั้งในยามสงบ และในสภาวะสงคราม แม้แต่ในสภาวะวิกฤตต่าง ๆ เช่นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่หลายประเทศทั่วโลกยังคงมีการเพิ่มงบประมาณทางการทหาร แต่ก็มีบางประเทศปรับลดเพื่อนำงบประมาณดังกล่าวมาจัดการกับวิกฤตการแพร่ระบดของโควิด-19
การพัฒนาขีดความสามารถ หรือมักจะเรียกกันว่าการพัฒนาความแข็งแกร่งของกองทัพ เป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อน ซึ่งขีดความสามารถของกองทัพนั้นประกอบไปด้วยขีดความสามารถเชิงกลยุทธ เชิงปฏิบัติการ และเชิงยุทธวิธี เพื่อตอบโต้ต่อภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้น โดยอาจจะจัดทำแผนพัฒนาขีดความสามารถ (Defense Capability Development Plan) และการจัดทำเอกสารป้องกันประเทศ (Defense White Paper)
หลายครั้งเทคโนโลยีของพลเรือนที่มีการศึกษาวิจัยไม่ได้ครอบคลุมหรือสามารถนำมาใช้ในทางการทหารได้ จึงต้องมีการศึกษาและวิจัยเทคโนโลยีทางการทหารโดยเฉพาะขึ้นมา โดยปัจจุบันได้มีการแข่งขันกันระหว่างชาติมหาอำนาจหลัก เช่น สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย เพื่อให้มีความก้าวหน้าและพัฒนาไปได้ไกลกว่าคู่แข่งของตนเอง
เทคโนโลยีทางการทหารถูกใช้งานในแทบทุกส่วนของการทหารในปัจจุบัน อาทิ การออกแบบ พัฒนาอาวุธ อุปกรณ์สนับสนุนทหารราบในการรบ การฝึกในการรบ รวมไปถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ที่อาจจะนำเข้ามาใช้ในสงครามในอนาคต แต่ยังคงเป็นที่ถกเถียงในปัจจุบันว่าการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในทางการทหารจะเกิดผลกระทบร้ายแรงอื่น ๆ ตามมา
การมีขีดความสามารถในการรบนั้น ไม่เพียงพอที่จะปฏิบัติการทางการทหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากหน่วยทหารจำเป็นจะต้องมีกระสุน อาวุธ และเสบียงต่าง ๆ ที่เพียงพอสำหรับการปฏิบัติการในการรบ การส่งกำลังบำรุงทางทหารจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการปฏิบัติการทางการทหารต่าง ๆ ในสงครามยุคปัจจุบัน
สำหรับการส่งกำลังบำรุงทางทหารนั้น สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการใช้รถบรรทุกทหาร การใช้รถไฟ ไปจนถึงการใช้เรือขนส่งสินค้า เพื่อที่จะนำกำลังบำรุงเหล่านั้นส่งไปถึงทหารในแนวรบ และพื้นที่นัดหมายที่อาจมีการกำหนดไว้ล่วงหน้า
การส่งกำลังบำรุงถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายในการรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี พ.ศ. 2565 โดยในระลอกแรกของการเข้าโจมตี กองทัพรัสเซียถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความล้มเหลวในการส่งกำลังบำรุงทางการทหาร ทำให้เกิดความสูญเสียต่อกองกำลังของรัสเซียเป็นจำนวนมาก
ในสังคมตั้งแต่อดีต ทหารถูกเลือกให้เป็นผู้นำในการปกครองมวลชน เนื่องจากมีอำนาจทางทหารและสามารถปกป้องประชาชนภายใต้การปกครองได้ จึงได้รับความไว้วางใจในการเป็นผู้นำ เช่น สังคมญี่ปุ่นในอดีต ที่ทหารซามูไรเป็นวรรณะนักรบที่มีชนชั้นทางสังคมเหนือกว่าผู้อื่นและมีหน้าที่ในการปกป้องรับใช้โชกุน ซึ่งเป็นผู้นำของสังคมในขณะนั้น และสังคมไทยในอดีต ที่พระมหากษัตริย์จะทรงเป็นผู้บังคับบัญชาในการรบโดยตรง บังคับบัญชาทหารเข้าสู่สงครามต่าง ๆ เพื่อปกป้องเมือง จนกระทั่งเข้าสู่สังคมยุคใหม่ ทหารจึงมีสถานะที่เปลี่ยนไปและทำหน้าที่ในการปกป้องประเทศและประชาชนรวมถึงการป้อมปราม
ในยุคปัจจุบัน ทหารถูกตั้งคำถามถึงคุณค่าและความจำเป็นในการมีอยู่ ในขณะเดียวกันการทหารก็มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่หลายประเทศยกเลิกการมีกองทัพลงไป แต่ในอีกหลายประเทศกับเร่งพัฒนาขีดความสามารถยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อแข่งขันและรับมือกับภัยคุกคามของตนเองที่เกิดขึ้นมา
สังคมของทหารมีลักษณะที่เป็นสังคมซ้อนอยู่ภายในสังคมภายนอกอยู่อีกชั้นหนึ่ง มีระบบบริหารจัดการภายในตัวของตัวเอง อาทิ ศาลทหาร ที่มีไว้สำหรับพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับทหาร หรืออาญาสงครามโดยเฉพาะ ไม่สามารถนำมาตัดสินพลเรือนซึ่งอยู่ภายนอกอำนาจของศาลทหารได้ แพทย์ทหาร หรือเรียกว่า เสนารักษ์ ที่มีความเชี่ยวชาญเหมือนแพทย์ทั่วไป แต่มีศักยภาพในการปฏิบัติการได้ในสถานการณ์ขับขันหรือการสู้รบ การศึกษา ที่มีโรงเรียนทหารสำหรับเรียนและฝึกสำหรับการเป็นทหารโดยเฉพาะแยกออกมาจากพลเรือน โดยจะแยกตามความเชี่ยวชาญและบทบาทหน้าที่ในกองทัพหลังจากจบการศึกษา เช่น โรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
ทหารกับสังคมการเมือง มีพัฒนาการที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในหลายประเทศ ทหารได้เข้าไปมีบทบาททางการเมือง ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ทหารสามารถเข้ามามีบทบาททางการเมืองได้ ด้วยวิธีการรัฐประหาร หรือจากระบอบการปกครองที่เอื้ออำนวยอยู่แล้ว ซึ่งปัญหาที่พบคือการแทรงแซงกลไกต่าง ๆ รวมไปถึงปัญหาความโปร่งใสของกองทัพ ซึ่งเกิดจากข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับปฏิบัติการทางการทหารต่าง ๆ และการจัดการงบประมาณที่เกิดการทุจริตได้ง่าย
ในประเทศที่สามารถแยกทหารออกจากการแทรกแซงทางการเมืองได้นั้นใช้วิธีการคานอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ฝ่ายของประเทศให้เกิดความสมดุลคือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ รวมถึงการปฏิรูปธุรกิจหรือกิจการของฝ่ายทหารเพื่อลดอำนาจการต่อรองลง โดยองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดคือฝ่ายทหารเอง ที่ต้องยินยอมที่จะปรับตัวและอยู่ภายใต้พลเรือน เช่นเดียวกับประเทศที่ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอื่น ๆ ปฏิเสธที่จะเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง
จริยธรรมในการทำสงครามและปฏิบัติการทางการทหารนั้นถูกพัฒนาเรื่อยมา โดยมีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2492 และเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2493 ในชื่อของอนุสัญญาเจนีวา แต่ในหลักความเป็นจริง อนุสัญญาดังกล่าวถูกปฏิบัติเฉพาะในช่วงเวลาสงครามตามรูปแบบ แต่ไม่ถูกนำมาปฏิบัติในการชุมนุมทางการเมืองและการลุกฮือต่าง ๆ ของประชาชน
ในแนวปฏิบัติระหว่างประเทศ ได้มีการห้ามใช้อาวุธบางชนิด โดยเฉพาะอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง (Weapons of Mass Destruction: WMD) นอกจากนี้ยังมีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการก่อให้เกิดอาชญากรรมสงคราม โดยจัดให้มีการดำเนินคดีต่ออาชญากรสงครามในศาลอาญาระหว่างประเทศ สำหรับผู้ที่ละเมิดและกระทำผิด และตามบทบัญญัติกฎหมายทางการทหารโดยเฉพาะของแต่ละประเทศ เช่น ประมวลกฎหมายยุติธรรมทหาร ของสหรัฐอเมริกา พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พุทธศักราช 2488 ของไทย
นอกจากนี้ ยังมีการปฏิบัติการทางทหารเพื่อมนุษยธรรมที่ได้รับการยอมรับโดยแพร่หลาย อาทิ การบรรเทาสาธารณภัย การปกป้องผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ และการรักษาสันติภาพในพื้นที่ขัดแย้ง
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
{{cite web}}
: แหล่งข้อมูลอื่นใน |last=
(help)
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
{{cite web}}
: zero width space character ใน |title=
ที่ตำแหน่ง 77 (help)