เขต พระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ (อังกฤษ: Fertile Crescent) ที่รู้จักกันโดยเป็นอู่อารยธรรม เป็นบริเวณรูปจันทร์เสี้ยวที่รวมแผ่นดินที่ชื้นและอุดมสมบูรณ์โดยเทียบกับบริเวณข้างเคียงในเอเชียตะวันตกที่เป็นเขตกึ่งแห้งแล้ง และรวมบริเวณรอบ ๆ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำและลุ่มแม่น้ำไนล์ เป็นบริเวณอยู่ติดกับเขตเอเชียน้อยหรือที่เรียกว่าอานาโตเลีย คำนี้เริ่มใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์โบราณ แล้วต่อมาจึงกลายมาเป็นคำที่นิยมใช้ในโลกตะวันตกแม้ในสาขาภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) และในเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูต
ความหมายทั้งหมดที่มีของคำนี้ ล้วนรวมเขตเมโสโปเตเมีย คือผืนแผ่นดินรอบ ๆ แม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรทีส และรวมเขตลิแวนต์ คือฝั่งทิศตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ประเทศต่าง ๆ ปัจจุบันที่มีดินแดนร่วมอยู่ในเขตนี้รวมทั้งประเทศอิรัก คูเวต ซีเรีย เลบานอน จอร์แดน อิสราเอล และปาเลสไตน์ โดยอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศตุรกีและทางทิศตะวันตกของอิหร่าน
เขตนี้บ่อยครั้งเรียกว่าอู่อารยธรรม (cradle of civilization) เพราะเป็นเขตที่เกิดพัฒนาการเป็นอารยธรรมมนุษย์แรก ๆ สุด ซึ่งเจริญรุ่งเรืองโดยอาศัยทรัพยากรน้ำและเกษตรกรรมที่มีอยู่ในเขต ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในเขตนี้รวมทั้งการพัฒนาภาษาเขียน การทำแก้ว ล้อ และระบบชลประทาน
ศาสตราจารย์นักมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกได้สร้างความนิยมกับคำว่า "พระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์" เริ่มตั้งแต่หนังสือเรียนระดับไฮสกูลที่เขาเขียนในปี 1914 และ 1916 นี่เป็นคำพรรณนาเขตนี้ในหนังสือปี 1916
ในที่สุดแห่งทิศตะวันตกของเอเชีย มีเขตที่มีรูปร่างไม่สมมาตร ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรวมอยู่ในวงน้ำติดกับทะเลแคสเปียนกับทะเลดำทางทิศเหนือ ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับทะเลแดงทางทิศตะวันตก และติดกับมหาสมุทรอินเดียกับอ่าวเปอร์เซียทางทิศใต้และตะวันออก โดยมากเป็นเขตภูเขาทางทิศเหนือและเขตทะเลทรายทางทิศใต้ ที่อยู่มนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในสนามใหญ่แห่งเอเชียตะวันตกนี้ เป็นแผ่นดินชายแดนระหว่างเขตทะเลทรายและเขตภูเขา เป็นเขตสุดติดกับทะเลทรายที่เพาะปลูกได้ เป็นแผ่นดินวงจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ที่มีภูเขาทางด้านหนึ่งและทะเลทรายอีกด้านหหนึ่ง
แผ่นดินวงจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์นี้ มีรูปคล้ายกับครึ่งวงกลม โดยมีด้านเปิดอยู่ทางทิศใต้ (ดูแผนที่) มีส่วนสุดทิศตะวันตกที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตรงกลางอยู่เหนือคาบสมุทรอาหรับ มีส่วนสุดทิศตะวันออกเหนืออ่าวเปอร์เซีย ตั้งอยู่เหมือนกับกองทัพหันไปทางทิศใต้ โดยมีปีกหนึ่งยาวไปทางฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และอีกปีกหนึ่งยืดไปทางอ่าวเปอร์เซีย และตรงกลางมีด้านหลังชนกับเทือกเขาทางทิศเหนือ ที่สุดของปีกตะวันตกคือปาเลสไตน์ จักรวรรดิอัสซีเรียเป็นส่วนใหญ่ของตรงกลาง ในขณะที่ส่วนสุดของปีกตะวันออกคืออาณาจักรบาบิโลเนีย
ครึ่งวงกลมของแผ่นดินใหญ่นี้ เพราะว่ายังไม่มีชื่อ อาจเรียกได้ว่า พระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์1 มันสามารถอุปมาเหมือนกับชายหาดของอ่าวทะเลทราย โดยมีภูเขาข้างหลังค้ำอยู่เหนือชายหาด เป็นอ่าวไม่ใช่ของน้ำแต่เป็นของทะเลทรายอันแห้งแล้ง อันกว้างประมาณ 500 ไมล์ เป็นชายหาดส่วนสุดด้านเหนือของทะเลทรายอาหรับและกว้างยืดไปทางทิศเหนือจนถึงละติจูดมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อ่าวทะเลทรายนี้เป็นที่ราบสูงหินปูน ซึ่งจริง ๆ สูงเกินกว่าที่จะได้น้ำจากแม่น้ำไทกริสและยูเฟรทีส ซึ่งวิ่งตัดเป็นหุบเขาเป็นแนวเฉียงผ่านมัน อย่างไรก็ดี หลังจากแม้จะได้ฝนหน้าหนาวอย่างขาดแคลน แผ่นดินเป็นแถบกว้างของอ่าวทะเลทรายด้านเหนือก็จะปกคลุมไปด้วยหญ้าบาง ๆ และดังนั้นฤดูใบไม้ผลิก็จะเปลี่ยนบริเวณนี้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ให้เป็นทุ่งหญ้า ประวัติของเอเชียตะวันตกสามารถกล่าวได้ว่า เป็นการต่อสู้กันที่เป็นไปนานแล้วระหว่างกลุ่มชนภูเขาทางทิศเหนือและนักเร่ร่อนชาวทะเลทรายแห่งเขตทุ่งหญ้าเหล่านี้ และก็ยังเป็นการต่อสู้ที่ยังเป็นไปอยู่ในปัจจุบัน เพื่อจะได้เป็นเจ้าของพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นฝั่งของอ่าวทะเลทราย
1 ไม่มีชื่อทั้งทางภูมิศาสตร์ทั้งทางการเมือง ที่รวมแผ่นดินทั้งหมดของครึ่งวงกลมใหญ่นี้ ดังนั้น เราจำต้องบัญญัติคำแล้วเรียกมันว่า พระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์
ความหมายของคำตามที่ใช้ในปัจจุบันรวมทั้งประเทศอิรัก คูเวต ส่วนรอบ ๆ อิหร่านและตุรกี และชายฝั่งของเขตลิแวนต์ที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซีเรีย จอร์แดน ปาเลสไตน์ และเลบานอน ทรัพยากรน้ำที่มีรวมแม่น้ำจอร์แดนด้วย แต่ถ้าใช้คำอย่างครอบคลุมกว้างไกลที่สุด เขตนี้อาจจะรวมบางส่วนของประเทศอียิปต์ทางทิศใต้ กับลุ่มแม่น้ำกับดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ที่อยู่ในอียิปต์ และประเทศไซปรัสที่เป็นเกาะ[ต้องการอ้างอิง] ขอบเขตด้านในครึ่งวงกลมแบ่งโดยภูมิอากาศที่แห้งแล้งของทะเลทรายซีเรียทางทิศใต้ ส่วนของเขตด้านนอกเป็นแผ่นดินที่แห้งแล้งและกึ่งแห้งแล้งของเทือกเขาคอเคซัสทางทิศเหนือ ที่สูงของอานาโตเลียและทะเลทรายสะฮาราทางทิศตะวันตก
พระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์เป็นเขตที่มีความหลายหลากทางภาษา โดยทั่วไปในประวัติศาสตร์ กลุ่มภาษาเซมิติก (Semitic) มักจะกระจายทั่วไปในที่ราบต่ำ ในขณะเขตภูเขาทางทิศตะวันออกและทิศเหนือจะใช้กลุ่มภาษาที่โดยทั่วไปไม่เกี่ยวข้องกันรวมทั้ง Elamite, Kassite, และ Hurro-Urartian ความเกี่ยวข้องกันและการมาถึงเขตนี้ ของภาษาเหล่านี้ ยังเป็นประเด็นปัญหาที่ถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการ แต่ว่า เพราะไม่มีหลักฐานทางภาษาเขียนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุด ข้อถกเถียงเหล่านี้คงจะไม่ยุติลงได้อย่างง่าย ๆ
แต่หลักฐานที่มีแสดงนัยว่า โดย 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช และล้ำเข้าไปในพันปีต่อไป ก็ได้มีกลุ่มภาษาหลายกลุ่มอยู่แล้ว ซึ่งรวมทั้ง
มักจะเสนอกันบ่อย ๆ ว่า ภาษาคอเคซัสต่าง ๆ เชื่อมโยงกับภาษา Hurro-Urartian และภาษาฮิตไทต์ แต่ว่านี่ยังไม่ใช่มติส่วนใหญ่
แม้ว่า แม่น้ำและลุ่มน้ำจะเป็นทรัพยากรที่ขาดไม่ได้สำหรับการเกิดขึ้นของอารยธรรม แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียวแห่งการพัฒนาได้เร็วของเขตนี้ คือ บริเวณนี้เป็นจุดเชื่อมสำคัญระหว่างแอฟริกากับยูเรเชีย ซึ่งทำให้เขตนี้มีความหลากหลายทางชีวภาพมากกว่าทั้งยุโรปและแอฟริกาเหนือ ซึ่งล้วนแต่เป็นที่ที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงยุคน้ำแข็ง ทำให้เกิดเหตุการณ์สูญพันธุ์ซ้ำ ๆ เมื่อระบบนิเวศหดเล็กลงมาชิดกับชายฝั่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อควบคู่กับเหตุการณ์ที่อธิบายโดยทฤษฎี Saharan pump theory จุดเชื่อมในตะวันออกกลางนี้จะสำคัญมากต่อการกระจายพันธุ์ของพฤกษชาติและพรรณสัตว์ในโลกเก่าดังที่พบในปัจจุบัน รวมทั้งมนุษย์ด้วย เขตนี้ยังเป็นแนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัวระหว่างแผ่นธรณีภาคแอฟริกาและอาหรับ และแนวแผ่นเปลือกโลกรวมตัวระหว่างแผ่นธรณีภาคอาหรับและยูเรเชีย ซึ่งมีผลให้กลายเป็นเขตสูงต่ำมียอดเขาปกคลุมด้วยหิมะมากมาย
เขตนี้มีภูมิอากาศที่หลากหลาย และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สำคัญ ๆ ได้สนับสนุนให้เกิดวิวัฒนาการของพืชฤดูเดียวที่สืบพันธุ์ด้วยกลยุทธ์แบบ "r" ตามทฤษฎี "r/K strategy" ซึ่งผลิตเมล็ดที่รับประทานได้มากกว่าพืชหลายปีที่เป็นแบบ "K" ความต่าง ๆ กันของความสูง ทำให้เกิดสปีชีส์มากมายของพืชที่รับประทานได้ ซึ่งสามารถนำมาทดลองเพาะปลูกในยุคต้น ๆ ได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขตนี้เป็นแหล่งของพืชผลต้นกำเนิดยุคหินใหม่ (Neolithic founder crop) ถึง 8 ชนิดที่สำคัญต่อเกษตรกรรมในยุคต้น ๆ รวมทั้งบรรพบุรุษพันธุ์ป่าของข้าวสาลีทั้งประเภท Triticum dicoccum (emmer) และ Triticum monococcum (einkorn) ข้าวบาร์ลีย์ ฝ้าย ถั่วหัวช้าง ถั่วลันเตา ถั่วสกุล Lens culinaris (lentil) และสกุล Vicia ervilia (ervil หรือ bitter vetch) และเป็นแหล่งกำเนิดสัตว์เลี้ยงที่สำคัญที่สุด 5 อย่าง คือ วัว แพะ แกะ และหมู โดยมีม้าเกิดจากแหล่งข้างเคียง
เขตนี้มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มนุษย์ที่น่าทึ่งใจที่สุดที่หนึ่ง นอกจากจะมีโบราณสถานที่มีซากกระดูกและซากหลักฐานทางวัฒนธรรมทั้งของมนุษย์พันธุ์ก่อนปัจจุบัน ของมนุษย์พันธุ์ปัจจุบันในยุคต้น ๆ (เช่นที่ถ้ำ Kebara ในปาเลสไตน์) ของมนุษย์ที่ทำกินเป็นนักล่า-เก็บพืชผลในสมัยไพลสโตซีนเบื้องปลาย และของมนุษย์นักล่า-เก็บพืชผลที่กึ่งอยู่เป็นที่ (คนกลุ่ม Natufian) ในสมัย Epipalaeolithic แล้ว เขตนี้ยังรู้จักกันดีที่สุดในฐานะเป็นแหล่งกำเนิดเกษตรกรรม คือ เขตตะวันตกใกล้ ๆ จอร์แดนและเขตแม่น้ำยูเฟรทีสตอนบน เป็นแหล่งกำเนิดของชุมชนเกษตรกรยุคหินใหม่ที่เก่าแก่ที่สุด (ที่เรียกว่า Pre-Pottery Neolithic A ตัวย่อ PPNA) ราว 9,543 ปีก่อนพุทธศักราช (รวมทั้งโบราณสถาน Jericho)
เขตนี้ พร้อมกับเมโสโปเตเมีย (ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขต ระหว่างแม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรทีส) ก็ยังเป็นแหล่งกำเนิดสังคมแบบซับซ้อน (complex society) ต้น ๆ ในยุคสัมฤทธิ์ต่อมา และก็ยังมีหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับภาษาเขียน และการเกิดสังคมทีแบ่งชนชั้นโดยเป็นรัฐ ทำให้เขตนี้มีชื่อว่า แหล่งกำเนิดอารยธรม (The Cradle of Civilization)
ทั้งแม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรทีสมีต้นน้ำอยู่ที่เทือกเขาทอรัส ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศตุรกี เกษตรกรในเมโสโปเตเมียด้านใต้ต้องทำการป้องกันน้ำท่วมไร่นาทุก ๆ ปี โดยยกเว้นด้านเหนือที่จะมีฝนตกเพียงแค่พอที่จะทำเกษตรได้เท่านั้น และเพื่อจะป้องกันน้ำท่วม ชนเหล่านี้จึงต้องสร้างคันกั้นน้ำ
เริ่มตั้งแต่ยุคสัมฤทธิ์ ชนในเขตนี้ได้เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติโดยสร้างระบบชลประทาน ซึ่งก็ยังจำเป็นต่อเกษตรกรรมตราบเท่าทุกวันนี้ แต่ในสองพันปีที่ผ่านมา ก็จะมีวงจรความเสื่อมความเจริญเมื่อสิ่งก่อสร้างที่ทำเกิดการละเลย แล้วจึงสร้างใหม่ต่อมาโดยรัฐที่มายึดครองพื้นที่ต่อ ๆ มา ปัญหาที่ยังเป็นไปตราบเท่าทุกวันนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ดินเค็ม ซึ่งเป็นการเพิ่มระดับความเข้มข้นของเกลือและแร่ธาตุอื่น ๆ ในดินที่มีประวัติชลประทานเป็นเวลายาวนาน
มีการปลูกธัญพืชในซีเรียเริ่มตั้งแต่ 9,000 ปีก่อน มีการพบลูกมะเดื่อที่ไม่มีเมล็ดในลุ่มแม่น้ำในจอร์แดน ซึ่งแสดงนัยว่า ต้นมะเดื่อได้เริ่มปลูกตั้งแต่ 11,300 ปีก่อน
งานวิเคราะห์ปี 2006 และ 2008 เปรียบเทียบการวัดกะโหลกและใบหน้า 24 อย่างแสดงว่า ประชากรเขตนี้ในยุคก่อนหินใหม่ ยุคหินใหม่ และยุคสัมฤทธิ์ มีความหลายหลาก โดยเฉพาะหลักฐานที่แสดงอิทธิพลจากแอฟริกาใต้สะฮาราในเขตนี้ โดยเฉพาะต่อคนกลุ่ม Natufian สมัย Epipalaeolithic ในอิสราเอล แต่ว่าไม่สามารถกล่าวอย่างเดียวกันต่อชาวบาสก์และคนในกานาเรียส เพราะว่างานเหล่านี้แสดงว่า คนโบราณเหล่านี้ "สัมพันธ์กับคนยุโรปปัจจุบันอย่างชัดเจน" นอกจากนั้นแล้ว ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงอิทธิพลของคน Cro-Magnon ในเขตนี้ ซึ่งต่างจากความคิดที่มีมาก่อน ๆ
งานศึกษาเหล่านี้ยังแสดงนัยถึงการแพร่กระจายของคนหลายหลากกลุ่มนี้ไปจากเขตนี้ โดยมีผู้ย้ายถิ่นยุคต้น ๆ ออกไปจากเขตตะวันออกใกล้ ทางทิศตะวันตกไปทางยุโรปและแอฟริกาเหนือ ทางทิศเหนือไปยังเขตไครเมีย และทางทิศตะวันออกไปยังมองโกเลีย โดยเอาข้อปฏิบัติทางเกษตรกรรมไปด้วย และต่อมาได้จับคู่อยู่ร่วมกับชนนักล่า-เก็บพืชผลที่ออกไปพบ ในขณะที่สามารถธำรงความเป็นเกษตรกรต่อไป ซึ่งสนับสนุนงานศึกษาทางพันธุกรรม ทางโบราณคดี ที่ทำมาก่อน ๆ ซึ่งล้วนแต่มีข้อสรุปเดียวกัน
ดังนั้น คนที่มีอยู่ในที่ต่าง ๆ ในปัจจุบันได้สืบทอดวิถีชีวิตเกษตรกรจากบุคคลที่อพยพออกจากเขตนี้ในยุคต้น ๆ ซึ่งต่างจากสมมติฐานที่ว่า การแพร่กระจายของวิธีทางเกษตรกรรมจากเขตนี้ เป็นไปโดยการแชร์ความรู้ และบัดนี้จึงมีหลักฐานที่เหนือกว่าว่า เกิดจากการอพยพของชนจากเขตนี้ โดยมีลูกหลานกับคนพื้นที่อื่น ๆ ที่ออกไปประสบ
แต่งานศึกษาก็แสดงด้วยว่า คนยุโรปปัจจุบันไม่ใช่ทั้งหมดมีกรรมพันธุ์ที่ใกล้ชิดกับคนที่อยู่ในเขตนี้ในยุคหินใหม่และยุคสัมฤทธิ์ กลุ่มชนที่ใกล้ชิดที่สุดคือคนยุโรปใต้ และคนยุโรปทั้งหมดในปัจจุบันมีสายเลือดใกล้ชิดกัน
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
Textbooks...The true texts brought all of these strands together, the most important being James Henry Breasted, Ancient Times: A History of the Early World (Boston, 1916), but a predecessor, George Stephen Goodspeed, A History of the Ancient World (New York, 1904), is outstanding. Goodspeed, who taught at Chicago with Breasted, antedated him in the conception of a 'crescent' of civilization.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
{{cite journal}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
{{cite web}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
{{cite web}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)