ในเทพปกรณัมกรีก อคิลลีส (อังกฤษ: Achilles) หรือ อาคีเลอุส (กรีกโบราณ: Ἀχιλλεύς) เป็นวีรบุรุษในสงครามกรุงทรอย เป็นตัวละครหลักและนักรบผู้ยิ่งใหญ่ในมหากาพย์อีเลียดของโฮเมอร์ เป็นแก่นของแนวเรื่องหลักในมหากาพย์นั้น คือ "โทสะของอคิลลีส"
อคิลลีสเป็นโอรสของท้าวพีลยูส เจ้านครไทอา (Φθία) แห่งอาณาจักรชาวเมอร์มาดอน (Μυρμιδόνες) กับนางพรายสมุทรเธติส นางพรายสมุทรผู้นี้เคยเป็นหญิงที่เทพซูสและเทพโพไซดอนแย่งชิงกันเป็นเวลานาน จนกระทั่งเทพโพรมีเทียสได้ทำนายและเตือนว่า หากมีครรภ์กับนางเธติสแล้ว บุตรของนางจะเก่งกาจสามารถกว่าบิดา ด้วยเหตุฉะนี้เทพทั้งสององค์จึงเลิกแย่งชิงนางพรายเธติส และนางได้สมรสกับท้าวพีลยูสแทน
ในหนังสือ Achilleid ซึ่งเขียนขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 1 ระบุว่า เมื่อให้นางเธติสให้กำเนิดอคิลลีสแล้ว นางพยายามทำให้อคิลลีสเป็นคงกระพันโดยการจุ่มทารกน้อยในแม่น้ำสติกซ์ ร่างกายของอคิลลีสจึงแข็งแกร่งไม่มีอาวุธใดทำอันตรายได้ แต่สิ่งที่นางลืมจุ่มลงไปด้วยคือข้อเท้าซ้ายของบุตรชายจนนี่กลายเป็นจุดอ่อนเพียงจุดเดียวของเขา บางตำนานระบุว่า นางพรายเจิมทารกน้อยด้วยน้ำอมฤต (ἀμβροσία) ก่อนยกเด็กน้อยขึ้นอังไฟเพื่อจะให้แผดเผาส่วนกายหยาบจากร่างกายให้หมด แต่ถูกท้าวพีลยูสมาขัดขวางไว้ นางพรายจึงโกรธมากและทิ้งสามีและบุตรไป
อคิลลีสได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดแห่งนักรบ เป็นผู้ที่มีฝีมือการต่อสู้ฉกาจฉกรรจ์มาก เมื่อพระเจ้าอกาเมมนอนรวบรวมทัพเพื่อยกไปตีกรุงทรอย ได้เชิญตัวอคิลลีสไปด้วย คำพยากรณ์มีว่ากรีกไม่มีวันเอาชนะทรอยได้หากปราศจากอคิลลีส กระนั้นก็มีคำพยากรณ์สำหรับอคิลลีสว่า เขาจะสิ้นชีวิตหากสังหารแม่ทัพทรอย
อคิลลีสไปถึงเมืองทรอยด้วยอายุเพียง 10 ขวบ และตั้งกองทัพอยู่ชายฝั่งเมืองทรอยนานถึง 15 ปี ระยะแรกอคิลลีสยังไม่มีความมุ่งมาดที่จะเอาชนะ จนกระทั่งพะทรอคลัส เพื่อนรักอย่างยิ่งของอคิลลิส ถูกเฮกเตอร์สังหาร อคิลลิสจึงมีโทสะอย่างมากในการรบ จึงได้ขอดวลเดี่ยวกับเฮกเตอร์เพื่อล้างแค้นและสามารถสังหารเฮกเตอร์ได้ และลากศพของเฮกเตอร์ไปรอบ ๆ กรุงทรอยด้วยรถม้าเป็นการประจาน อคิลลีสเป็นผู้ที่บุกตะลุยเข้าไปในเมืองหลังจากเข้าเมืองได้ด้วยอุบายม้าไม้ของโอดิซูส และอคิลลีสก็ถูกสังหารจริง ๆ ตามคำทำนายด้วยลูกธนูที่ข้อเท้าจากการยิงของปารีส
เมื่ออคิลลีสเสียชีวิตไปแล้วได้ทิ้งชื่อไว้เป็นตำนานให้เลื่องลือ กล่าวกันว่า โล่ห์ของอคิลลีส (Shield of Achilles) ซึ่งเป็นโลห์ที่อคิลลีสใช้สู้กับเฮคเตอร์เป็นสิ่งที่ใครต่อใครต้องการแสวงหา และอเล็กซานเดอร์มหาราชก็นับถืออคิลลีสเป็นอย่างมาก โดยถือว่าพระองค์สืบเชื้อสายมาจากอคิลลีส และพระองค์ยังออกตามหาหลุมศพของอคิลลีสรวมทั้งปรารถนาจะครอบครองโล่ห์ของอคิลลีสด้วย ซึ่งเชื่อว่าถูกฝังอยู่ในหลุมศพอคิลลีส
ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างอคิลลีสกับพะทรอคลัสนั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันทั้งในสมัยคลาสสิกและสมัยใหม่ ถึงแม้ในหนังสือ Iliad เน้นย้ำความสัมพันธ์จุดนี้ในแง่สหายผู้ภักดีเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าทั้งสองเป็นคู่รักกัน ฝ่ายโฮเมอร์เองก็ไม่ได้กล่าวถึงว่าอคิลลิสและสหายพะทรอคลัสเป็นคู่รักเช่นกัน ถึงกระนั่น นักวิจารณ์สมัยคลาสสิกมักวิจารณ์ในมุมมองของวัฒนธรรมตนเท่านั้น แต่สำหรับวัฒนธรรมกรุงเอเธนส์ของกรีกในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งระหว่างชาย-ชายจะเรียกว่า เปเดรัสติส (παίδἐραστής) อย่างเช่นที่เพลโตเคยสรุปไว้ในหนังสือ Symposium ว่าอคิลลีสกับพะทรอคลัสเป็นคู่รักกัน หรือสรุปไว้ในหนังสือ Phaedrus ว่าอคีลลิสนั้นมีอายุน้อยกว่าและมีรูปโฉมงามกว่าพะทรอคลัส ดังนั้นอคีลลิสจึงรับบทบาทผู้ถูกรัก (eromenos) และพะทรอคลัสรับบทบาทผู้รัก (erastes) แต่ขณะเดียวกัน สมัยกรีกโบราณไม่มีศัพท์ที่ใช้แบ่งแยกรักต่างเพศกับรักร่วมเพศอย่างชัดเจน จึงอาจอนุมานได้ทั้งสองทางไม่ว่าพวกเขาอาจชอบทั้งเพศชายและเพศหญิงก็ย่อมเป็นไปได้
บุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ที่ถูกนำไปเปรียบเปรยกับอคิลลีส-พะทรอคลัสมากที่สุดคืออเล็กซานเดอร์มหาราชกับเฮฟีสเทียน ทั้งสองพยายามประกาศตนต่อสาธารณชนว่าพวกเขาเป็นดังอคิลลีส-พะทรอคลัส
There is certainly no evidence in the text of the Iliad that Achilles and Patroclus were lovers.