เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งสหภาพโซเวียต | |
---|---|
Генеральный секретарь ЦК КПСС | |
ตราประจำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต | |
ผู้ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด โจเซฟ สตาลิน 3 เมษายน ค.ศ. 1922 – 16 ตุลาคม ค.ศ. 1952 (โดยพฤตินัย 5 มีนาคม ค.ศ. 1953) | |
คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ | |
การเรียกขาน | สหายเลขาธิการ (ไม่เป็นทางการ) |
สมาชิกของ | |
จวน | วุฒิสภาเครมลิน |
ที่ว่าการ | เครมลิน มอสโก |
ผู้แต่งตั้ง | คณะกรรมการกลาง |
สถาปนา | 3 เมษายน 1922 |
คนแรก | โจเซฟ สตาลิน |
คนสุดท้าย | วลาดีมีร์ อีวัชโค (รักษาการ) |
ยกเลิก | 29 สิงหาคม 1991 |
เงินตอบแทน | 10,000 รูเบิลโซเวียตต่อปี |
เลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (รัสเซีย: Генеральный секретарь ЦК КПСС) เป็นตำแหน่งผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (CPSU) สถาปนาขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1924 จวบจนกระทั่งการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1991 โดยผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้จะได้รับการรับรองว่าเป็นผู้นำสหภาพโซเวียต เลขาธิการมีอำนาจควบคุมพรรคคอมมิวนิสต์โดยตรงในทางนิตินัย แต่ด้วยพรรคมีอำนาจผูกขาดทางการเมือง เลขาธิการจึงมีอำนาจควบคุมฝ่ายบริหารของรัฐบาลโซเวียตด้วยในทางปฏิบัติ นอกจากนี้ เลขาธิการยังถือว่าเป็นตำแหน่งสูงสุดของสหภาพโซเวียต เนื่องจากความสามารถของตำแหน่งในการกํากับนโยบายระหว่างประเทศและภายในประเทศของรัฐ รวมถึงยังมีอำนาจเหนือพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต
ก่อนหน้าการปฏิวัติเดือนตุลาคม งานของเลขาธิการพรรคส่วนใหญ่เป็นของข้าราชการ โดยหลังจากการยึดอํานาจของบอลเชวิค ตำแหน่งเลขาธิการรับผิดชอบจึงได้สถาปนาขึ้นใน ค.ศ. 1919 เพื่อดำเนินงานด้านการปกครอง หลังจากบอลเชวิคได้รับชัยชนะในสงครามกลางเมืองรัสเซีย ตำแหน่งเลขาธิการจึงก่อตั้งขึ้นโดยวลาดีมีร์ เลนิน เมื่อ ค.ศ. 1922 ด้วยความตั้งใจที่จะตอบสนองวัตถุประสงค์ด้านการบริหารและวินัยอย่างสิ้นเชิง หน้าที่หลักของตำแหน่งคือการกําหนดองค์ประกอบของสมาชิกพรรคและกําหนดตําแหน่งภายในพรรค นอกจากนั้น เลขาธิการยังดูแลการบันทึกกิจกรรมของพรรค รวมถึงได้รับมอบหมายการแจ้งให้ผู้นําพรรคและสมาชิกทราบเกี่ยวกับกิจกรรมของพรรคด้วย
เมื่อมีการก่อตั้งคณะรัฐมนตรี เลนินได้แต่งตั้งโจเซฟ สตาลิน เป็นเลขาธิการ ไม่กี่ปีต่อมา สตาลินได้นำหลักการคติประชาธิปไตยรวมศูนย์มาใช้เพื่อยกสถานะตำแหน่งของเขาให้กลายเป็นหัวหน้าพรรค และท้ายที่สุดเป็นผู้นำสหภาพโซเวียต ทรอตสกีกล่าวว่าการยกตำแหน่งของสตาลินมาจากคำแนะนำเบื้องต้นของกรีโกรี ซีโนเวียฟ โดยมุมมองดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากนักประวัติศาสตร์จำนวนมาก ตามที่วาดิม โรโกวิน นักประวัติศาสตร์ชาวรัสเซียกล่าวไว้ว่า การรับเลือกตำแหน่งของสตาลินเกิดขึ้นหลังจากการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่สิบเอ็ด (มีนาคม–เมษายน ค.ศ. 1922) และด้วยสุขภาพที่ย่ำแย่ของเลนิน เขาจึงเข้าร่วมการประชุมใหญ่เป็นระยะ ๆ เท่านั้น โดยเข้าร่วมเพียงสี่ครั้งจากการประชุมทั้งสิบสองครั้ง
อย่างไรก็ตาม ยังมีนักประวัติศาสตร์บางส่วนมองว่าการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของผู้นำบอลเชวิคคนสำคัญอย่างยาคอฟ สเวียร์ดลอฟ เป็นปัจจัยหลักในการยกสถานะตำแหน่งของสตาลินให้กลายเป็นผู้นำสหภาพโซเวียต ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะสเวียร์ดลอฟดํารงตําแหน่งประธานแรกเริ่มของคณะเลขาธิการพรรค และถือว่าเขาเป็นว่าที่เลขาธิการพรรคโดยชอบธรรม
ก่อนการถึงแก่อสัญกรรมของเลนินใน ค.ศ. 1924 การดํารงตําแหน่งเลขาธิการของสตาลินถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ในเดือนสุดท้ายของเลนิน เขาเขียนพินัยกรรมซึ่งเรียกร้องให้ถอดถอนสตาลิน โดยอ้างว่าสตาลินจะกลายเป็นเผด็จการและใช้อํานาจในทางที่ผิด พินัยกรรมดังกล่าวก่อให้เกิดวิกฤตทางการเมือง ซึ่งเป็นอันตรายต่อตําแหน่งเลขาธิการของสตาลิน และมีการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดเขาออกจากตําแหน่ง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากกรีโกรี ซีโนเวียฟ และเลฟ คาเมเนฟ สตาลินยังคงรอดพ้นจากวิกฤตการณ์และยังคงอยู่ในตำแหน่งเช่นเดิม หลังจากเลนินถึงแก่อสัญกรรม สตาลินเริ่มรวมอำนาจของเขาโดยอาศัยตำแหน่งเลขาธิการ ซึ่งใน ค.ศ. 1928 เขากลายเป็นผู้นำสหภาพโซเวียตโดยพฤตินัย ในขณะที่ตำแหน่งเลขาธิการกลายเป็นตำแหน่งสูงสุดของชาติ ต่อมาใน ค.ศ. 1934 ในการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 17 ได้ละเว้นการรับเลือกตำแหน่งเลขาธิการของสตาลินอย่างเป็นทางการ รวมถึงสตาลินยังได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งที่เขาเคยเป็นทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าพรรคโดยไม่ถูกลดทอนอำนาจด้วย
ในทศวรรษ 1950 สตาลินเริ่มลดบทบาทของตนจากคณะเลขาธิการมากขึ้น โดยปล่อยให้เกออร์กี มาเลนคอฟ เป็นผู้ดูแลโครงสร้างพรรค ซึ่งอาจเป็นการทดสอบความสามารถของเขาในฐานะผู้สืบทอดที่มีศักยภาพ ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1952 ณ การประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 19 สตาลินปรับโครงสร้างผู้นําของพรรคใหม่ สตาลินกล่าวคำขอของเขาต่อมาเลนคอฟให้ปลดเขาจากเลขาธิการพรรค เนื่องจากอายุของเขา แต่กลับถูกปฏิเสธจากที่ประชุมใหญ่ของพรรค เนื่องจากผู้แทนไม่แน่ใจเกี่ยวกับความตั้งใจของสตาลิน ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ที่ประชุมได้ยกเลิกตำแหน่งเลขาธิการอย่างเป็นทางการ แม้ว่าสตาลินยังคงเป็นหนึ่งในสมาชิกเลขาธิการพรรคและมีอำนาจสูงสุดในพรรคก็ตาม เมื่อสตาลินถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1953 มาเลนคอฟจึงถือว่าเป็นสมาชิกที่สำคัญที่สุดของคณะเลขาธิการ ซึ่งรวมถึงนีกีตา ครุชชอฟ และคนอื่น ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ของอำนาจตรอยกา ซึ่งประกอบด้วยมาเลนคอฟ เบรียา และโมโลตอฟ มาเลนคอฟกลายเป็นประธานคณะรัฐมนตรี แต่เขาถูกบังคับให้ลาออกจากคณะเลขาธิการในอีกเก้าวันต่อมาเมื่อวันที่ 14 มีนาคม เป็นผลให้ครุชชอฟควบคุมรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้รับเลือกให้ดํารงตําแหน่งเลขาธิการอันดับหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตในระหว่างการประชุมคณะกรรมการกลางเมื่อวันที่ 14 กันยายน ปีเดียวกัน ต่อมาครุชชอฟสามารถเอาชนะคู่แข่งทางการเมืองที่พยายามคัดค้านการปฏิรูปทางการเมืองของเขาได้ ครุชชอฟสามารถลบล้างอำนาจของมาเลนคอฟ, โมโลตอฟ และลาซาร์ คากาโนวิช (หนึ่งในผู้ร่วมงานเก่าแก่และใกล้ชิดกับสตาลินมากที่สุด) ได้อย่างสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1957 ซึ่งความสําเร็จนี้ช่วยเสริมสร้างอํานาจสูงสุดของครุชชอฟในฐานะตําแหน่งเลขาธิการอันดับหนึ่ง
ใน ค.ศ. 1964 ฝ่ายค้านในโปลิตบูโรและคณะกรรมการกลาง ซึ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นหลังจากเหตุการณ์วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา นําไปสู่การถอดถอนครุสชอฟออกจากตําแหน่ง เลโอนิด เบรจเนฟ สืบต่อตำแหน่งเลขาธิการอันดับหนึ่งต่อจากครุชชอฟ แต่ในช่วงแรกเป็นการปกครองแบบผู้นำร่วม โดยได้รวมตัวกันเป็นตรอยการ่วมกับอะเลคเซย์ โคซีกิน และนีโคไล ปอดกอร์นืย ตำแหน่งได้รับการเปลี่ยนชื่อกลับมาเป็นเพียง "เลขาธิการ" อีกครั้งใน ค.ศ. 1966 ระบบผู้นำร่วมสามารถจำกัดอำนาจของเลขาธิการในระหว่างยุคเบรจเนฟ อิทธิพลของเบรจเนฟเติบโตขึ้นตลอดทศวรรษ 1970 เนื่องจากเขาสามารถรักษาการสนับสนุนโดยหลีกเลี่ยงการปฏิรูปที่รุนแรง หลังจากการอสัญกรรมของเบรจเนฟ ยูรี อันโดรปอฟ และคอนสตันติน เชียร์เนนโค ยังมีอำนาจในการปกครองแบบเดียวกันกับที่เบรจเนฟมี ต่อมามีฮาอิล กอร์บาชอฟ ได้ปกครองสหภาพโซเวียตในฐานะเลขาธิการจนถึง ค.ศ. 1990 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์สูญเสียอำนาจผูกขาดเหนือระบบการเมือง ตำแหน่งประธานาธิบดีสหภาพโซเวียตได้รับการสถาปนาขึ้นเพื่อให้กอร์บาชอฟสามารถรักษาบทบาทของเขาในฐานะผู้นําของสหภาพโซเวียตต่อไปได้ ภายหลังความล้มเหลวจากเหตุการณ์รัฐประหารเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1991 กอร์บาชอฟจึงประกาศลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการ และวลาดีมีร์ อีวัชโค รองเลขาธิการได้รักษาการตำแหน่งของเขาเป็นเวลาห้าวันก่อนที่บอริส เยลต์ซิน จะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีรัสเซียคนใหม่ และได้ระงับกิจกรรมทั้งหมดในพรรคคอมมิวนิสต์ หลังจากพรรคถูกสั่งห้าม สหภาพแห่งบรรดาพรรคคอมมิวนิสต์–พรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (UCP–CPSU) ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยโอเลก เชนิน ใน ค.ศ. 1993 และอุทิศตนเพื่อฟื้นฟูและบูรณะพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตอีกครั้ง โดยองค์กรนี้มีสมาชิกมาจากบรรดาสาธารณรัฐโซเวียตเดิมทั้งหมด
ภาพ | ชื่อ (เกิด–เสียชีวิต) |
การดำรงตำแหน่ง | หมายเหตุ | ||
---|---|---|---|---|---|
เริ่มวาระ | สิ้นสุดวาระ | ระยะเวลา | |||
เลขาธิการชำนาญการแห่งคณะเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย (บอลเชวิค) (ค.ศ. 1918–1919) | |||||
ยาคอฟ สเวียร์ดลอฟ (ค.ศ. 1885–1919) |
ค.ศ. 1918 | 16 มีนาคม ค.ศ. 1919 † | 0–1 ปี | สเวียร์ดลอฟดำรงตำแหน่งจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1919 ซึ่งในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง เขามีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องทางทฤษฎีเป็นหลักมากกว่าเรื่องการเมือง | |
เยเลนา สตาโซวา (ค.ศ. 1873–1966) |
มีนาคม ค.ศ. 1919 | ธันวาคม ค.ศ. 1919 | 9 เดือน | เมื่อมีการยุบตำแหน่งของเธอ สตาโซวาจึงไม่ถือว่าเป็นคู่แข่งคนสำคัญของตำแหน่งเลขาธิการรับผิดชอบ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สืบต่อมาจากประธานคณะเลขาธิการ | |
เลขาธิการรับผิดชอบแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย (บอลเชวิค) (ค.ศ. 1919–1922) | |||||
นีโคไล เครสตินสกี (ค.ศ. 1883–1938) |
ธันวาคม ค.ศ. 1919 | มีนาคม ค.ศ. 1921 | 1 ปี 3 เดือน | ตำแหน่งเลขาธิการรับผิดชอบปฏิบัติหน้าที่เหมือนกับเลขาธิการ เป็นตำแหน่งที่มีสถานะค่อนข้างระดับล่าง เนื่องจากเครสตินสกียังคงเป็นสมาชิกของโปลิตบูโร ออร์กบูโร และคณะเลขาธิการ อย่างไรก็ตาม เครสตินสกีไม่เคยพยายามสร้างฐานอำนาจอิสระเหมือนดังที่โจเซฟ สตาลิน ได้กระทำในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ | |
วยาเชสลาฟ โมโลตอฟ (ค.ศ. 1890–1986) |
16 มีนาคม ค.ศ. 1921 | 3 เมษายน ค.ศ. 1922 | 0 ปี 291 วัน | ได้รับการรับเลือกให้เป็นเลขาธิการรับผิดชอบในระหว่างการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 10 ที่จัดขึ้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1921 โดยที่ประชุมตัดสินใจว่าตำแหน่งเลขาธิการรับผิดชอบควรรวมอยู่ในโปลิตบูโร เป็นผลให้โมโลตอฟกลายเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งของโปลิตบูโรด้วย | |
เลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพทั้งปวง (บอลเชวิค) (ค.ศ. 1922–1952) | |||||
โจเซฟ สตาลิน (ค.ศ. 1878–1953) |
3 เมษายน ค.ศ. 1922 | 5 มีนาคม ค.ศ. 1953 | 30 ปี 336 วัน | สตาลินอาศัยตำแหน่งเลขาธิการในการสร้างฐานอำนาจที่แข็งแกร่งให้กับตนเอง โดยในการประชุมพรรคครั้งที่ 17 เมื่อ ค.ศ. 1934 ได้ละเว้นการรับเลือกตำแหน่งเลขาธิการของสตาลินอย่างเป็นทางการ และตำแหน่งก็ไม่ค่อยถูกกล่าวถึงมากนักหลังจากนั้น ต่อมาใน ค.ศ. 1952 สตาลินได้ยกเลิกตําแหน่ง แต่เขายังคงไว้ซึ่งอํานาจสูงสุดและตําแหน่งของเขาในฐานะประธานคณะรัฐมนตรีจนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1953 สตาลินดำรงตำแหน่งเลขาธิการยาวนาที่สุดเป็นเวลา 30 ปี 7 เดือน โดยเทียบเป็นเวลาเกือบครึ่งหนึ่งของการดำรงอยู่ของสหภาพโซเวียต | |
เลขาธิการอันดับหนึ่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (ค.ศ. 1953–1966) | |||||
นีกีตา ครุชชอฟ (ค.ศ. 1894–1971) |
14 มีนาคม ค.ศ. 1953 | 14 ตุลาคม ค.ศ. 1964 | 11 ปี 30 วัน | ครุชชอฟสถาปนาตำแหน่งอีกครั้งเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1953 ในชื่อ "เลขาธิการอันดับหนึ่ง" โดยเมื่อ ค.ศ. 1957 เกออร์กี มาเลนคอฟ หัวหน้าสมาชิกกลุ่มต่อต้านพรรคเกือบถอดเขาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากกังวลว่าอำนาจของเลขาธิการอันดับหนึ่งนั้นมีแทบไม่จำกัด ครุชชอฟถูกปลดออกจากผู้นําสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1964 และเลโอนิด เบรจเนฟ ได้รับตำแหน่งต่อจากเขา | |
เลโอนิด เบรจเนฟ (ค.ศ. 1906–1982) |
14 ตุลาคม ค.ศ. 1964 | 8 เมษายน ค.ศ. 1966 | 1 ปี 176 วัน | เบรจเนฟเป็นหนึ่งในคณะผู้นำร่วม เขาก่อตั้งระบอบผู้มีอำนาจสามคน (Triumvirate) อย่างไม่เป็นทางการ (หรือที่รู้จักกันในภาษารัสเซียว่าตรอยกา) ควบคู่กับอะเลคเซย์ โคซีกิน หัวหน้ารัฐบาล และนีโคไล ปอดกอร์นืย ผู้เป็นประธานสภาประธานาธิบดีใน ค.ศ. 1965 ตำแหน่งเลขาธิการอันดับหนึ่งเปลี่ยนชื่อกลับมาเป็นเช่นเดิมในระหว่างการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 23 เมื่อ ค.ศ. 1966 | |
เลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (1966–1991) | |||||
เลโอนิด เบรจเนฟ (ค.ศ. 1906–1982) |
8 เมษายน ค.ศ. 1966 | 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1982 † | 16 ปี 216 วัน | ขอบเขตอํานาจและหน้าที่ของเบรจเนฟในฐานะเลขาธิการเป็นไปอย่างจํากัดภายในคณะผู้นำร่วม แต่ในช่วงทศวรรษ 1970 อิทธิพลของเบรจเนฟเริ่มมากกว่าโคซีกินและปอดกอร์นืย เนื่องด้วยเขาสามารถรักษาการสนับสนุนได้จากการหลีกเลี่ยงการปฏิรูปที่รุนแรง | |
ยูรี อันโดรปอฟ (ค.ศ. 1914–1984) |
12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1982 | 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1984 † | 1 ปี 89 วัน | เขากลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเบรจเนฟที่ความเป็นไปได้มากที่สุด จากการที่เขาเป็นประธานคณะกรรมการในการจัดการรัฐพิธีศพของเบรจเนฟ อันโดรปอฟใช้รูปแบบเดียวกันกับเบรจเนฟในการปกครองประเทศก่อนที่เขาจะถึงแก่อสัญกรรม | |
คอนสตันติน เชียร์เนนโค (ค.ศ. 1911–1985) |
13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1984 | 10 มีนาคม ค.ศ. 1985 † | 1 ปี 25 วัน | เชียร์เนนโคในวัย 72 ปี ได้รับเลือกให้ดํารงตําแหน่งเลขาธิการขณะที่มีสุขภาพแย่ลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกันกับอันโดรปอฟ เขาปกครองประเทศในรูปแบบเดียวกับเบรจเนฟ | |
มีฮาอิล กอร์บาชอฟ (ค.ศ. 1931–2022) |
11 มีนาคม ค.ศ. 1985 | 24 สิงหาคม ค.ศ. 1991 | 6 ปี 166 วัน | ในการประชุมสมัชชาใหญ่ผู้แทนประชาชนใน ค.ศ. 1990 ได้มีการถอดมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญแห่งสหภาพโซเวียต ค.ศ. 1977 ออก ส่งผลให้พรรคคอมมิวนิสต์สูญเสียสถานะ "พลังผู้นําและชี้นําของสังคมโซเวียต" อํานาจของเลขาธิการถูกลดทอนลงอย่างมาก และตลอดระยะเวลาที่เหลือของการดํารงตําแหน่ง กอร์บาชอฟปกครองประเทศผ่านตำแหน่งประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต เขาลาออกจากพรรคเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1991 อันเกิดจากผลลัพธ์ของรัฐประหารเดือนสิงหาคม | |
วลาดีมีร์ อีวัชโค (ค.ศ. 1932–1994) รักษาการ |
24 สิงหาคม ค.ศ. 1991 | 29 สิงหาคม ค.ศ. 1991 | 0 ปี 5 วัน | เขาได้รับเลือกเป็นรองเลขาธิการ ณ การประชุมใหญ่ครั้งที่ 28 ของพรรค อีวัชโคทำหน้าที่รักษาการเลขาธิการหลังจากการลาออกของกอร์บาชอฟ แต่เมื่อถึงตอนนั้นพรรคก็ไร้อํานาจทางการเมือง กิจกรรมของพรรคถูกระงับเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1991 และถูกสั่งห้ามเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน |