บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
ส่วนหนึ่งของสงครามเย็นและการปฏิวัติ ค.ศ. 1989 | |
รถถังที่จัตุรัสแดงระหว่างความพยายามรัฐประหารในสหภาพโซเวียต พ.ศ. 2534 | |
ชื่อพื้นเมือง | Распад СССР หรือ Развал СССР |
---|---|
วันที่ | 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1988 – 26 ธันวาคม ค.ศ. 1991 |
ที่ตั้ง | สหภาพโซเวียต:
สาธารณรัฐอื่น:
สาธารณรัฐปกครองตนเอง:
|
ผู้เข้าร่วม |
|
ผล |
|
กลุ่มตะวันออก |
---|
การล่มสลายของสหภาพโซเวียต (พ.ศ. 2531–2534) เป็นกระบวนการของการสลายตัวภายในประเทศของสหภาพโซเวียต ซึ่งเริ่มต้นด้วยความไม่สงบที่เพิ่มมากขึ้นในสาธารณรัฐต่าง ๆ ซึ่งพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองและนิติบัญญัติอย่างต่อเนื่องระหว่างสาธารณรัฐต่าง ๆ กับรัฐบาลกลาง และสิ้นสุดลงเมื่อผู้นำของสามสาธารณรัฐหลัก (สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน และสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตเบียโลรัสเซีย) ได้ประกาศว่าสหภาพสิ้นสุดการดำรงอยู่ ร่วมกับอีกสิบเอ็ดสาธารณรัฐในเวลาต่อมา ส่งผลให้ประธานาธิบดี มีฮาอิล กอร์บาชอฟ ต้องลาออกและส่วนที่เหลืออยู่ของรัฐสภาโซเวียตได้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
ความล้มเหลวของการก่อรัฐประหารเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2534 เมื่อรัฐบาลโซเวียตและชนชั้นนำทางทหารได้พยายามที่จะโค่นล้มกอร์บาชอฟและหยุดยั้ง "การเดินสวนสนามแห่งอำนาจอธิปไตย" ทำให้รัฐบาลในกรุงมอสโกสูญเสียอิทธิพลส่วนใหญ่ และสาธารณรัฐหลายแห่งต่างประกาศเอกราชในวันและเดือนต่อมา การแยกตัวของรัฐบอลติก (ซึ่งเป็นรัฐกลุ่มแรกที่ประกาศอำนาจอธิปไตยและต่อมาประกาศเอกราชอย่างเต็มรูปแบบ) ได้รับการรับรองในเดือนกันยายน พ.ศ. 2534 ข้อตกลงเบโลเวจได้รับการลงนามเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม โดยประธานาธิบดี บอริส เยลต์ซิน แห่งรัสเซีย ประธานาธิบดี Leonid Kravchuk แห่งยูเครน และประธาน Stanislav Shushkevich แห่งเบลารุส โดยได้รับรองเอกราชของกันและกันและก่อตั้งเครือรัฐเอกราช สาธารณรัฐที่เหลือยกเว้นจอร์เจียได้เข้าร่วมเครือรัฐเอกราชเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม โดยลงนามในคำประกาศอัลมา-อาตา
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ประธานาธิบดีมีฮาอิล กอร์บาชอฟ ได้ลาออก พร้อมกับประกาศว่าตำแหน่งของเขาได้จบสิ้นแล้ว และได้ส่งมอบอำนาจ (ซึ่งรวมถึงการควบคุมด้วยรหัสการยิงหัวรบนิวเคลียร์) แก่เยลต์ซิน เมื่อตอนเย็นของวันนั้นในเวลา 19:32 น. ธงชาติโซเวียตได้ถูกชักธงลงจากเครมลินเป็นครั้งสุดท้ายและถูกแทนที่ด้วยธงชาติรัสเซีย ในวันรุ่งขึ้น คำประกาศ 142-เอช ของสภาสูงของรัฐสภาโซเวียตได้รับรองเอกราชและการปกครองตนเองของสาธารณรัฐโซเวียตต่าง ๆ และยุบเลิกสหภาพอย่างเป็นทางการทั้งการปฏิวัติเมื่อ พ.ศ. 2532 ในกลุ่มตะวันออกและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตถือเป็นการยุติสงครามเย็น
ในผลพวงของสงครามเย็น อดีตสาธารณรัฐโซเวียตหลายรัฐยังคงรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัสเซียและจัดตั้งองค์กรพหุภาคีต่าง ๆ เช่น เครือรัฐเอกราช ประชาคมเศรษฐกิจยูเรเชีย รัฐสหภาพ สหภาพศุลกากรยูเรเชีย และสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย เพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการทหาร ในทางกลับกัน รัฐบอลติกและอดีตประเทศกลุ่มตะวันออกได้เข้าร่วมกับเนโทและสหภาพยุโรป ในขณะที่จอร์เจียและยูเครนได้ปลีกตัวจากรัสเซียและแสดงความสนใจที่จะตามไปในเส้นทางเดียวกัน
แม้ว่าการปฏิรูปก่อนหน้านั้นได้ล่าช้าลงในช่วงปี พ.ศ. 2507–2525 แต่ว่าการที่คนรุ่นใหม่ได้มีอำนาจแทนคนรุ่นเก่าก็ได้สร้างสภาวะที่เหมาะแก่การปฏิรูปขึ้นอีกครั้ง ความสัมพันธ์ของสหภาพโซเวียตกับสหรัฐอเมริกาที่เปลี่ยนแปลงไปก็ยังเป็นความจำเป็นหนึ่งของการปฏิรูป แม้ว่าประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ได้ล้มเลิกนโยบายประนีประนอมหลังจากที่สหภาพโซเวียตโจมตีอัฟกานิสถาน แต่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตก็ได้ขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เหตุการณ์สงครามอิรัก-อิหร่าน ในสมัยแรกของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน
มีฮาอิล กอร์บาชอฟเป็นผู้นำสหภาพโซเวียต นับตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2528 ไม่นานหลังคอนสตันติน เชียร์เนนโคถึงแก่อสัญกรรม กอร์บาชอฟได้ริเริ่มการปฏิรูปทางการเมืองหลายอย่างภายใต้นโยบายที่เรียกว่า กลัสนอสต์ ประกอบด้วย การลดความเข้มงวดในการตรวจพิจารณา การลดอำนาจหน่วยเคจีบี และการเสริมสร้างความเป็นประชาธิปไตย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นั้นมีจุดประสงค์เพื่อกำจัดการต่อต้านการปฏิรูปทางเศรษฐกิจจากกลุ่มอำนาจอนุรักษนิยมภายในพรรคคอมมิวนิสต์ ภายใต้การปฏิรูปนี้ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ในพรรคคอมมิวนิสต์จะต้องมาจากการเลือกตั้ง (โดยสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เอง) ซึ่งเป็นการใช้ระบบนี้ครั้งแรก ท่ามกลางการคัดค้านจากกลุ่มอนุรักษนิยม
อย่างไรก็ตาม การลดความเข้มงวดในการควบคุมสื่อและความพยายามที่จะสร้างการเมืองที่เปิดกว้างมากขึ้นโดยกอร์บาชอฟ ได้ปลุกความรู้สึกชาตินิยมและต่อต้านรัสเซียในสาธารณรัฐเล็ก ๆ ที่เป็นชนกลุ่มน้อยในสหภาพโซเวียต ในคริสต์ทศวรรษ 1980 เสียงที่เรียกร้องอิสรภาพจากการปกครองจากมอสโกดังขั้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในสาธารณรัฐแถบทะเลบอลติก คือ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย ที่รวมกับสหภาพโซเวียตตั้งแต่ พ.ศ. 2483 โดยโจเซฟ สตาลิน ความรู้สึกชาตินิยมนั้นก็ยังได้แพร่หลายในสาธารณรัฐอื่น ๆ เช่น ยูเครน จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจาน ขบวนการชาตินิยมเหล่านี้ได้เข้มแข็งขึ้นอย่างมากเมื่อเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตตกต่ำ รัฐบาลที่กรุงมอสโกนั้นกลายเป็นแพะรับบาปของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แสดงว่า กอร์บาชอฟนั้นได้ปลดปล่อยพลังที่จะทำลายสหภาพโซเวียตไปแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ