สงครามเกาหลี | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามเย็น | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
การสนับสนุนด้านการรบ การสนับสนุนอื่น |
การสนับสนุนด้านการแพทย์ การสนับสนุนอื่น | ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
* นามที่มี ข้างหน้า หมายถึง ผู้บัญชาการแห่งกองบัญชาการสหประชาชาติ | |||||||||
กำลัง | |||||||||
ยอด: 972,214 |
ยอด: 1,642,600 | ||||||||
ความสูญเสีย | |||||||||
รวม: เสียชีวิต 178,236 นาย สูญหาย 32,844 นาย บาดเจ็บ 566,314 นาย รายละเอียด
|
เสียชีวิตรวม 367,283-750,282 นาย รายละเอียด
| ||||||||
สงครามเกาหลี | |||||||
ชื่อเกาหลีเหนือ | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
โชซ็อนกึล | 조국해방전쟁 | ||||||
ฮันจา | 祖國解放戰爭 | ||||||
| |||||||
ชื่อเกาหลีใต้ | |||||||
ฮันกึล | 6.25 전쟁 | ||||||
ฮันจา | 韓國戰爭 | ||||||
|
สงครามเกาหลี (ในเกาหลีใต้ เกาหลี: 6.25 전쟁, 한국전쟁; ฮันจา: 6.25 戰爭, 韓國戰爭; อาร์อาร์: Yugio Jeonjaeng, Hanguk Jeonjaeng,แปลว่า "สงคราม 25 มิถุนายน" หรือ "สงครามเกาหลี"; ในเกาหลีเหนือ เกาหลี: 조국해방전쟁; ฮันจา: 祖國解放戰爭; เอ็มอาร์: Choguk haebang chŏnjaeng, "สงครามปลดปล่อยปิตุภูมิ"; 25 มิถุนายน 1950 – 27 กรกฎาคม 1953) เป็นสงครามระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) (ได้รับการสนับสนุนจากจีนและสหภาพโซเวียต) และสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) (ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสหรัฐ) สงครามเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1950 เมื่อเกาหลีเหนือได้ส่งกองทัพเข้ารุกรานเกาหลีใต้
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้ยุติลง สหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกาได้เข้าปลดปล่อยเกาหลีจากการควบคุมดินแดนอาณานิคมของจักรวรรดิญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ภายหลังจากสงครามยุติลง เกาหลีได้ถูกแบ่งแยกอยู่ที่เส้นขนานที่ 38 กลายเป็นสองเขตแดนของการยึดครอง โซเวียตได้ปกครองดินแดนส่วนครึ่งนึงจากทางเหนือและอเมริกันก็ปกครองดินแดนอีกส่วนครึ่งนึงจากทางใต้ ด้วยชายแดนตั้งอยู่ที่เส้นขนานที่ 38 ในปี ค.ศ. 1948 สองรัฐเอกราชได้ถูกสถาปนาขึ้นอันเป็นผลมาจากความตึงเครียดทางการเมืองของสงครามเย็น(ระหว่างสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา) รัฐสังคมนิยมได้ถูกก่อตั้งขึ้นในส่วนทางภาคเหนือภายใต้ผู้นำฝ่ายลัทธิคอมมิวนิสต์ของนายคิม อิล-ซ็องและรัฐทุนนิยมในส่วนทางภาคใต้ภายใต้ผู้นำฝ่ายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ของนายอี ซึง-มัน ทั้งสองรัฐบาลของรัฐเกาหลีใหม่ต่างอ้างว่าเป็นรัฐบาลที่มีความชอบธรรมด้วยกฎหมายแต่เพียงฝ่ายเดียวของเกาหลีทั้งหมดและไม่ยอมรับเขตชายแดนเป็นการถาวร
ความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นจนนำไปสู่สงคราม เมื่อกองทัพเกาหลีเหนือ(กองทัพประชาชนเกาหลี, KPA)—ที่ได้รับการสนับสนุนโดยสหภาพโซเวียตและจีน—ได้ข้ามเขตชายแดนและรุกเข้าสู่เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1950. คณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติได้อนุญาตให้มีการจัดตั้งและส่งกองทัพไปยังเกาหลี เพื่อขับไล่สิ่งที่ได้เป็นที่ยอมรับแล้วว่าเป็นการรุกรานของเกาหลีเหนือ ยี่สิบเอ็ดประเทศของสหประชาชาติต่างได้มีส่วนร่วมในกองทัพสหประชาชาติ กับสหรัฐอเมริกาได้ให้ประมาณ 90% ของบุคลากรทางทหาร
ภายหลังสองเดือนแรกของสงคราม กองทัพเกาหลีใต้(ROKA)และกองทัพสหรัฐที่ถูกส่งมายังเกาหลีอย่างรวดเร็วนั้นกำลังจะพ่ายแพ้ กองทัพเกาหลีใต้และกองกำลังทหารสหรัฐได้ถอยร่นกลับไปยังพื้นที่ขนาดเล็กหลังแนวป้องกันที่เป็นที่รู้จักกันกันคือ วงรอบปูซาน ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1950 การยกพลขึ้นบกเพื่อต่อต้านการรุกของสหประชาชาติได้ถูกเปิดฉากขึ้นที่เมืองอินช็อน และตัดกำลังของกองทัพประชาชนเกาหลีเป็นจำนวนมากในเกาหลีใต้ มีผู้ที่หนีรอดจากการถูกโอบล้อมและถูกจับกุมเพื่อบังคับให้กลับไปยังทางเหนือ กองทัพสหประชาชาติได้รุกเข้าสู่เกาหลีเหนือในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1950 และเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็วไปยังแม่น้ำยาลู-ซึ่งเป็นชายแดนติดกับจีน-แต่เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1950 กองกำลังทหารจีนของกองทัพอาสาสมัครของประชาชน(PVA)ได้ข้ามแม่น้ำยาลูและเข้าสู่สงคราม การแทรกแซงของจีนที่น่าประหลาดใจทำให้กองทัพสหประชาชาติต้องล่าถอยออกไปและกองทัพจีนได้รุกรานเข้าสู่เกาหลีใต้ในปลายเดือนธันวาคม
ในสิ่งเหล่านี้และการต่อสู้ที่ตามมานั้น กรุงโซลถูกยึดเป็นครั้งที่สี่และกองทัพฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ถูกผลักดันกลับไปยังจุดตำแหน่งเส้นขนานที่ 38 ใกล้กับจุดเริ่มต้นสงคราม ภายหลังจากนี้แนวหน้าได้ถูกทำให้คงที่และสองปีสุดท้ายของการสู้รบได้กลายเป็นสงครามบั่นทอนกำลัง สงครามในอากาศ อย่างไรก็ตาม ไม่เคยถูกทำให้จนมุม เกาหลีเหนือได้อยู่ภายใต้การทัพอากาศทิ้งระเบิดขนาดใหญ่ของสหรัฐ เครื่องบินขับไล่ไอพ่นได้เผชิญหน้ากันแต่ละฝ่ายในการรบทางอากาศต่ออากาศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์และนักบินโซเวียตได้บินอย่างลับ ๆ เพื่อปกป้องพันธมิตรฝ่ายลัทธิคอมมิวนิสต์ของพวกเขาเอง
การสู้รบได้ยุติลง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 1953 ความตกลงการสงบศึกเกาหลีได้ถูกลงนาม ข้อตกลงครั้งนี้ได้สร้างเขตปลอดทหารเกาหลี (DMZ) เพื่อเป็นการแบ่งแยกเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ และอนุญาตให้มีการส่งตัวเชลยศึกกลับคืน อย่างไรก็ตาม สนธิสัญญาสันติภาพไม่มีลงนามและทั้งสองประเทศเกาหลียังคงทำสงครามกันอยู่และมีส่วนร่วมในความขัดแย้งที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2018 ผู้นำเกาหลีเหนือและผู้นำเกาหลีใต้ได้มาพบกันที่เขตปลอดทหารเกาหลี และทำข้อตกลงที่จะทำงานร่วมกันภายใต้สนธิสัญญาเพื่อยุติสงครามเกาหลีอย่างเป็นทางการ แต่ทว่าต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากผู้แปรพักตร์ในฝั่งเกาหลีใต้ทำโฆษณาชวนเชื่อโจมตีใส่รัฐบาลเกาหลีเหนือและนายคิม จ็อง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือคนปัจจุบัน เป็นเหตุทำให้เกาหลีเหนือต้องระเบิดสำนักประสานงานร่วมของสองชาติเกาหลีในเมืองแคซ็อง ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับพรมแดนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้สองชาติต้องกลับเข้าสู่สภาวะความตึงเครียดอีกครั้งที่อาจจะนำไปสู่สงครามเกาหลีครั้งใหม่ก็เป็นไปได้
สงครามเกาหลีเป็นหนึ่งในความขัดแย้งที่มีการทำลายล้างมากที่สุดในยุคปัจจุบัน ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตจากสงครามประมาณ 3 ล้านคน และพลเรือนเสียชีวิตทั้งหมดในสัดส่วนที่ใหญ่กว่าสงครามโลกครั้งที่สองหรือสงครามเวียดนาม มันทำให้เกิดการทำลายล้างเมืองสำคัญต่างๆของเกาหลีทั้งหมด การสังหารหมู่จำนวนนับพันคนของทั้งสองฝ่าย(รวมถึงการสังหารหมู่จำนวนนับหมื่นคนของผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์โดยรัฐบาลเกาหลีใต้) และการทรมานและความอดอยากของเชลยศึกโดยกองบัญชาการเกาหลีเหนือ เกาหลีเหนือกลายเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักที่สุดในประวัติศาสตร์
หลังราชวงศ์ชิงพ่ายในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (1894–96) จักรวรรดิญี่ปุ่นเข้ายึดครองจักรวรรดิเกาหลี อันเป็นคาบสมุทรซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อเขตอิทธิพล อีกทศวรรษให้หลัง หลังจักรวรรดิญี่ปุ่นสามารถพิชิตจักรวรรดิรัสเซียได้ในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (1904–05) ญี่ปุ่นทำให้เกาหลีเป็นรัฐในอารักขาโดยสนธิสัญญาอึลซาในปี 1905 แล้วจึงผนวกด้วยสนธิสัญญาการผนวกดินแดนญี่ปุ่น-เกาหลีในปี 1910
นักชาตินิยมและกลุ่มปัญญาชนเกาหลีหลบหนีออกนอกประเทศ และมีบางส่วนก่อตั้งรัฐบาลเกาหลีเฉพาะกาลขึ้นในปี 1919 นำโดย อี ซึงมัน ในเซี่ยงไฮ้ รัฐบาลพลัดถิ่นนี้ได้รับการรับรองจากไม่กี่ประเทศ จากปี 1919 ถึง 1925 และหลังจากนั้น นักคอมมิวนิสต์เกาหลีนำและเป็นตัวการหลักของการสงครามต่อญี่ปุ่นทั้งในและนอกประเทศ
เกาหลีภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิญี่ปุ่น โดยเป็นอาณานิคมที่ถูกปรับให้เป็นอุตสาหกรรม ร่วมกับไต้หวัน และทั้งคู่เป็นส่วนหนึ่งของวงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา ในปี 1937 ข้าหลวงใหญ่อาณานิคม พลเอก จิโร มินามิ ซึ่งบังคับบัญชาการพยายามผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมประชากร 23.5 ล้านคนของเกาหลี โดยห้ามการใช้และศึกษาภาษา วรรณกรรมและวัฒนธรรมเกาหลี และบังคับให้ใช้และศึกษาภาษา วรรณกรรมและวัฒนธรรมญี่ปุ่นแทน มีการออกนโยบายโซชิ-ไกเม เริ่มตั้งแต่ปี 1939 กำหนดให้ประชาชนใช้ชื่อภาษาญี่ปุ่น ในปี 1938 รัฐบาลอาณานิคมเริ่มการเกณฑ์แรงงาน
ในประเทศจีน กองทัพปฏิวัติแห่งชาติที่เป็นชาตินิยมและกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่เป็นคอมมิวนิสต์ช่วยจัดระเบียบผู้ลี้ภัยที่เป็นผู้รักชาติและนักต่อสู้เพื่อเอกราชชาวเกาหลีต่อทหารญี่ปุ่น ซึ่งยังยึดครองบางส่วนของจีนด้วย ชาวเกาหลีที่นักชาตินิยมหนุนหลัง นำโดย อี พมซก สู้รบในการทัพพม่า (ธันวาคม 1941 – สิงหาคม 1945) ส่วนนักคอมมิวนิสต์ชาวเกาหลี นำโดย คิม อิลซอง ฯลฯ ต่อสู้ทหารญี่ปุ่นในเกาหลีและแมนจูเรีย
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารญี่ปุ่นใช้อาหาร ปศุสัตว์ และโลหะของเกาหลีเพื่อความพยายามของสงครามของตน กองกำลังญี่ปุ่นในเกาหลีเพิ่มขึ้นจาก 46,000 นาย ในปี 1941 เป็น 300,000 นาย ในปี 1945 เกาหลีของญี่ปุ่นเกณฑ์แรงงานบังคับ 2.6 ล้านคน ซึ่งควบคุมโดยกองกำลังตำรวจชาวเกาหลีที่ให้ความร่วมมือ ประชาชนราว 723,000 นายถูกส่งไปทำงานในจักรวรรดิโพ้นทะเลและในมหานครญี่ปุ่น จนถึงปี 1942 ชายชาวเกาหลีถูกเกณฑ์เข้าสู่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น จนถึงเดือนมกราคม 1945 ชาวเกาหลีคิดเป็น 32% ของกำลังแรงงานญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคม 1945 เมื่อสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ถล่มฮิโระชิมะและนะงะซะกิ ราว 25% ของผู้เสียชีวิตเป็นชาวเกาหลี เมื่อสงครามยุติ ประเทศอื่นในโลกไม่รับรองการปกครองของญี่ปุ่นในเกาหลีและไต้หวัน
ขณะเดียวกัน ที่การประชุมไคโร (พฤศจิกายน 1943) สาธารณรัฐจีน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกาตัดสินใจว่า "เมื่อถึงกำหนด เกาหลีจักเป็นอิสระและมีเอกราช" ภายหลัง การประชุมยัลตา (กุมภาพันธ์ 1945) ให้ "เขตกันชน" ในทวีปยุโรปแก่สหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นรัฐบริวารที่รัฐบาลโซเวียตต้องรับผิดชอบ ตลอดจนการขึ้นเป็นใหญ่ที่คาดหวังไว้ของโซเวียตในจีนและแมนจูเรีย ตอบแทนที่สหภาพโซเวียตเข้าร่วมความพยายามของสงครามต่อญี่ปุ่นในสงครามแปซิฟิก
สหภาพโซเวียตประกาศสงครามกับญี่ปุ่นในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ตามที่ตกลงในการประชุมเตหะราน (พฤศจิกายน 1943) และการประชุมยัลตา (กุมภาพันธ์ 1945) ว่า สหภาพโซเวียตต้องประกาศสงครามต่อญี่ปุ่นภายในสามเดือนหลังสงครามในยุโรปสิ้นสุดลง จนถึงวันที่ 10 สิงหาคม กองทัพแดงยึดครองครึ่งเหนือของคาบสมุทรเกาหลีตามที่ตกลงกัน และวันที่ 26 สิงหาคม มาหยุดที่เส้นขนานที่ 38 เป็นเวลาสามสัปดาห์เพื่อรอให้กองกำลังสหรัฐมาถึงจากทางใต้
วันที่ 10 สิงหาคม เมื่อญี่ปุ่นใกล้ยอมจำนน อเมริกาสงสัยว่าโซเวียตจะเคารพคณะกรรมาธิการร่วมส่วนของตน หรือความตกลงยึดครองเกาหลีที่สหรัฐอเมริกาสนับสนุน หรือไม่ อีกหนึ่งเดือนให้หลัง พันเอก ดีน รัสก์ และพันเอก ชาลส์ เอช. โบนสตีลที่สาม แบ่งคาบสมุทรเกาหลีที่เส้นขนานที่ 38 หลังเร่งตัดสินใจว่า เขตยึดครองเกาหลีของสหรัฐจำต้องมีเมืองท่าอย่างน้อยสองแห่ง
เมื่ออธิบายเหตุที่การปักปันเขตยึดครองอยู่ที่เส้นขนานที่ 38 รัสก์ออกความเห็นว่า "แม้ในความเป็นจริง กองกำลังสหรัฐสามารถขึ้นไปเหนือกว่านั้นได้ กรณีที่โซเวียตไม่ตกลง ... เรารู้สึกว่าเป็นการสำคัญที่จะรวมเมืองหลวงของเกาหลีในพื้นที่รับผิดชอบของทหารอเมริกัน" โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ "เผชิญกับควาขาดแคลนกองกำลังสหรัฐที่มีอยู่ และปัจจัยกาลเทศะ ซึ่งทำให้เป็นการยากที่จะขึ้นเหนือไปไกลมาก ก่อนที่ทหารโซเวียตจะเข้าสู่พื้นที่" โซเวียตตกลงการปักปันเขตยึดครองของสหรัฐเพื่อปรับปรุงฐานะการเจรจาของตนว่าด้วยเขตยึดครองในยุโรปตะวันออก และเพราะทั้งสองจะสนองการยอมจำนนของญี่ปุ่นจากที่ที่ตั้งอยู่
หลังสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองสิ้นสุดลง สงครามกลางเมืองจีนหวนกลับมาอีกครั้งระหว่างคอมมิวนิสต์จีนกับจีนคณะชาติ ขณะที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์แย่งชิงความเป็นใหญ่ในแมนจูเรีย ก็ได้รับการสนับสนุนด้านยุทธปัจจัยและกำลังพลจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ ตามแหล่งข้อมูลของจีน เกาหลีเหนือได้บริจาคยุทธปัจจัย 2,000 ตู้รถไฟ และชาวเกาหลีหลายพันคนรับราชการในกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนระหว่างสงคราม เกาหลีเหนือยังให้ที่ซ่อนอันปลอดภัยแก่ผู้ที่มิใช่พลรบและการสื่อสารกับจีนส่วนที่เหลือ
การมีส่วนของเกาหลีเหนือแก่ชัยชนะของคอมมิวนิสต์จีนไม่ถูกลืมหลังการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ตอบแทน ทหารผ่านศึกชาวเกาหลีระหว่าง 50,000 ถึง 70,000 คน ถูกส่งกลับพร้อมกับอาวุธ และภายหลัง ทหารเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการบุกครองเกาหลีใต้ขั้นต้น จีนสัญญาจะสนับสนุนเกาหลีเหนือหากเกิดสงครามกับเกาหลีใต้ การสนับสนุนของจีนสร้างการแบ่งแยกร้าวลึกระหว่างคอมมิวนิสต์เกาหลี และอำนาจของคิม อิลซองภายในพรรคคอมมิวนิสต์ถูกกลุ่มแยกจีน ที่นำโดย พัก อิลยู ท้าทาย ภายหลังพักถูกคิมกวาดล้างไป
รัฐบาลจีนตั้งชาติตะวันตก นำโดยสหรัฐอเมริกา เป็นภัยคุกคามใหญ่สุดต่อความมั่นคงของชาติ การตัดสินใจนี้อิงศตวรรษแห่งความอัปยศของจีนเริ่มตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 การสนับสนุนคณะชาติของอเมริการะหว่างสงครามกลางเมืองจีน และการต่อสู้ทางอุดมการณ์ระหว่างพวกปฏิวัติกับพวกปฏิกิริยา ผู้นำจีนเชื่อว่าจะจีนจะเป็นสมรภูมิสำคัญในการปราบปรามคอมมิวนิสต์ของสหรัฐ เพื่อเป็นมาตรการตอบโต้และยกฐานะของจีนในบรรดาขบวนการคอมมิวนิสต์ทั่วโลก ผู้นำจีนจึงนำนโยบายต่างประเทศที่สนับสนุนการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ทั่วดินแดนขอบขัณฑสีมาของจีนมาใช้
บรรดาชาติสัมพันธมิตรตกลงกันในการประชุมพอตสดัม (กรกฎาคม-สิงหาคม 1945) ให้มีการแบ่งเกาหลีอออกเป็นสองส่วน โดยที่ไม่ถามความเห็นของชาวเกาหลี เป็นการขัดแย้งกับข้อตกลงจากการประชุมไคโร
พลโท จอห์น อาร์. ฮอดจ์ ผู้แทนฝ่ายสหรัฐอเมริกาเดินทางมาถึงเมืองอินช็อนในวันที่ 8 กันยายน 1945 เพื่อรับการประกาศยอมแพ้สงครามของญี่ปุ่นในอาณาบริเวณคาบสมุทรเกาหลีใต้ต่อเส้นขนานที่ 38 พลโทฮอดจ์มีอำนาจปกครองเกาหลีใต้ในฐานะผู้บัญชาการรัฐบาลทหารกองทัพสหรัฐอเมริกาในเกาหลี (USAMGIK) พลโทฮอดจ์คืนอำนาจให้แก่ผู้ปกครองอาณานิคมชาวญี่ปุ่นและกองกำลังตำรวจเกาหลีเดิมที่เคยให้การสนับสนุนญี่ปุ่น รัฐบาลทหารสหรัฐที่ปกครองเกาหลีไม่ให้การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นของสาธารณรัฐประชาชนเกาหลีซึ่งดำรงอยู่ในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากรัฐบาลทหารสหรัฐมีความสงสัยว่ารัฐบาลพลัดถิ่นของเกาหลีนั้นจะเป็นคอมมูนนิสต์ นโยบาลเหล่านี้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนชาวเกาหลี นำไปสู่การลุกฮือต่อต้านและสงครามกองโจร ในวันที่ 3 กันยายน 1945 พลโทโยะชิโอะ โคซุกิ ผู้บัญชาการกองกำลังภาคที่สิบเจ็ดของญี่ปุ่น รายงานต่อพลโทฮอดจ์ว่ากองกำลังของโซเวียตได้ลงมาทางใต้ต่ำกว่าเส้นขนานที่ 38 อยู่ที่เมืองแคซอง ซึ่งพลโทฮอดจ์ก็เชื่อข่าวกรองของญี่ปุ่น
คณะกรรมาธิการร่วมสหรัฐอเมริกา-สหภาพโซเวียต เข้าปกครองเกาหลีในเดือนธันวาคม 1945 ตามที่ได้ตกลงไว้ในการประชุมมอสโก (1945) โดยที่ชาวเกาหลีไม่ได้มีส่วนร่วมในการเจรจาตกลง คณะกรรมาธิการร่วมได้ข้อยุติว่าให้เกาหลีอยู่ในฐานะทรัสตีเป็นเวลาห้าปีแล้วจึงเป็นเอกราช ปกครองโดยรัฐบาลที่มีแนวความคิดทางการเมืองเหมือนกับประเทศแม่ที่ให้การสนับสนุน ประชาชนชาวเกาหลีจึงลุกขึ้นต่อต้านในเกาหลีใต้ บ้างประท้วงบ้างก็ทำการสู้รบ รัฐบาลทหารสหรัฐอเมริกาพยายามจะควบคุมการลุกฮือโดยการออกประกาศห้ามการชุมนุมในวันที่ 8 ธันวาคม 1945 และประกาศให้รัฐบาลปฏิวัติและคณะกรรมาธิการประชาชนของสาธารณรัฐประชาชนเกาหลีเป็นรัฐบาลที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 1945
สภาประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน (Representative Democratic Council) ฝ่ายขวา นำโดย ซิงมัน รี ผู้มาพร้อมกับกองทัพสหรัฐ คัดค้านภาวะทรัสตี โดยแย้งว่าเกาหลีถูกต่างชาติดยึดครองมานานเกินไปแล้ว พลเอกฮอดจ์เริ่มแยกตัวห่างจากข้อเสนอ แม้มันเริ่มจากรัฐบาลของเขา
ในวันที่ 23 กันยายน 1946 การนัดหยุดงานของคนงานรางรถไฟ 8,000 คนเริ่มในปูซาน การก่อความไม่สงบลามไปทั่วประเทศในเหตุการณ์ที่เรียก การก่อการกำเริบฤดูใบไม้ร่วง ในวันที่ 1 ตุลาคม 1946 ตำรวจเกาหลีฆ่านักศึกษาสามคนในการก่อการกำเริบแทกู ผู้ประท้วงตีโต้ตอบ โดยฆ่าตำรวจ 38 นาย ในวันที่ 3 ตุลาคม ราว 10,000 คนโจมตีสถานีตำรวจยองช็อน ฆ่าตำรวจไป 3 นายและมีได้รับบาดเจ็บอีก 40 นาย ที่อื่น เจ้าของที่ดินและข้าราชการเกาหลีใต้ผู้นิยมญี่ปุ่นราว 20 คนถูกฆ่า USAMGIK ประกาศกฎอัยการศึก
รัฐบาลสหรัฐอ้างว่า คณะกรรมการร่วมไม่มีความสามารถดำเนินความคืบหน้า ตัดสินใจจัดการเลือกตั้งภายใต้ความคุ้มครองของสหประชาชาติ โดยมุ่งหมายสร้างประเทศเกาหลีอันมีเอกราช ทางการโซเวียตและนักคอมมิวนิสต์เกาหลีปฏิเสธให้ความร่วมมือด้วยเหตุว่าการเลือกตั้งจะไม่ยุติธรรม และนักการเมืองเกาหลีใต้จำนวนมากยังคว่ำบาตรด้วย มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในทางใต้เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 1948 ถูกทำลายด้วยการก่อการร้ายและการก่อวินาศกรรมซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 600 คน เกาหลีใต้จัดการเลือกตั้งรัฐสภาอีกสามเดือนให้หลังในวันที่ 25 สิงหาคม
รัฐบาลเกาหลีใต้จากการเลือกตั้งประกาศใช้รัฐธรรมนูญการเมืองแห่งชาติเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 1948 และเลือกซิงมัน รีเป็นประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ได้รับการสถาปนาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1948 ในเขตยึดครองเกาหลีของรัสเซีย สหภาพโซเวียตสถาปนารัฐบาลเกาหลีเหนือซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ นำโดย คิม อิล-ซ็อง ระบอบของประธานาธิบดีรีตัดนักคอมมิวนิสต์และฝ่ายซ้ายจากการเมืองเกาหลีใต้ เมื่อถูกริบสิทธิเลือกตั้ง พวกเขามุ่งหน้าไปภูเขา เพื่อเตรียมสงครามกองโจรต่อรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีที่สหรัฐสนับสนุน
ขณะเดียวกัน ในวันที่ 3 เมษายน 1948 การเดินขบวนเฉลิมฉลองการต่อต้านการปกครองของญี่ปุ่นของเกาหลียุติด้วยการก่อการกำเริบเชจู ซึ่งมีผู้เสียชีวิตระหว่าง 14,000 ถึง 60,000 คน ทหารเกาหลีใต้ก่อกรรมป่าเถื่อนขนานใหญ่ระหว่างการปราบปรามการก่อการกำเริบนั้น ในเดือนตุลาคม 1948 ทหารเกาหลีใต้บางส่วนก่อการกำเริบต่อการจำกัดในกบฏยอซุ–ซูนช็อน
สหภาพโซเวียตถอนกำลังตามตกลงจากเกาหลีในปี 1948 และกำลังสหรัฐถอนในปี 1949 ในวันที่ 24 ธันวาคม 1949 กำลังเกาหลีใต้ฆ่าประชาชน 86 ถึง 88 คนในการสังหารหมู่มูงย็องและกล่าวโทษอาชญากรรมนั้นต่อกลุ่มโจรปล้นที่เป็นคอมมิวนิสต์ เมื่อต้นปี 1950 ซิงมัน รีมีผู้ถูกกล่าวหาเป็นนักคอมมิวนิสต์ในคุก 30,000 คน และผู้ฝักใฝ่ที่ต้องสงสัยราว 300,000 คนขึ้นทะเบียนในขบวนการให้การศึกษาใหม่สันนิบาติโบโด
กองกำลังของเกาหลีใต้ลดกำลังกองโจรคอมมิวนิสต์ จากเดิม 5,000 นายเป็น 1,000 นายในบริเวณแถบเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม คิม อิล-ซ็อง เชื่อว่าการรบแบบกองโจรจะทำให้กองทัพเกาหลีใต้อ่อนตัวลง และการรุกรานของเกาหลีเหนือยังได้รับการต้อนรับโดยชาวเกาหลีใต้เป็นจำนวนมาก คิม อิล-ซ็อง เริมนำ โจเซฟ สตาลิน เป็นฝ่ายสนับสนุนในการรุกราน ในเดือนมีนาคม 1949 เดินทางไปมอสโกเพื่อพยายามโน้มน้าวสตาลิน
เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 1949 กองทัพเกาหลีเหนือจำนวน 1,000 จู่โจมกองทัพเหนือและครอบครอบเส้นขนานที่ 38 กองทหารราบที่ 2 และ 18 ของหน่วย ROKA ปะทะครั้งแรกในเมือง Kuksa-bong (เส้นขนาน ที่ 38) และเมือง Ch'ungmu
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ hedvicek.blog.cz
Total Strength 602,902 troops
Republic of Korea -- 590,911
Colombia -- 1,068
United States -- 302,483
Belgium -- 900
United Kingdom -- 14,198
South Africa -- 826
Canada -- 6,146
The Netherlands -- 819
Turkey -- 5,453
Luxembourg -- 44
Australia -- 2,282
Philippines -- 1,496
New Zealand -- 1,385
Thailand -- 1,204
Ethiopia -- 1,271
Greece -- 1,263
France -- 1,119
A peak strength of 14,198 British troops was reached in 1952, with over 40 total serving in Korea.
When war came to Korea in June 1950, Britain was second only to the United States in the contribution it made to the UN effort in Korea. 87,000 British troops took part in the Korean conflict, and over 1,000 British servicemen lost their lives[ลิงก์เสีย]
Other countries to furnish combat units, with their peak strength, were: Australia (2,282), Belgium/Luxembourg (944), Canada (6,146), Colombia (1,068), Ethiopia (1,271), France (1,119), Greece (1,263), Netherlands (819), New Zealand (1,389), Philippines (1,496), Republic of South Africa (826), Thailand (1,294), Turkey (5,455), and the United Kingdom (Great Britain 14,198).
Peak Canadian Army strength in Korea was 8,123 all ranks.
NKPA strength peaked in October 1952 at 266,600 men in eighteen divisions and six independent brigades.
Soviet involvement in the Korean War was on a large scale. During the war, 72,000 Soviet troops (among them 5,000 pilots) served along the Yalu River in Manchuria. At least 12 air divisions rotated through. A peak strength of 26,000 men was reached in 1952.
This series has records for 4,714 U.S. military officers and soldiers who were prisoners of war (POWs) during the Korean War and therefore considered casualties.
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Rummel1997
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ fas.org
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Devine 2007 819-8212
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Devine 2007 819-8213